Translate

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปัญญาเกิดได้อย่างไร




 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง  ขันติ  คือ  ความอดทน  เพราะฉะนั้น การที่เราจะมีปัญญาได้  ก็จะต้องมีความอดทนมาก ๆ  เลย  ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ  ไม่มีใครสามารถใช้เงินทั้งหมดทุ่มเทซื้อปัญญาได้  แต่ว่าปัญญาจะต้องเกิดจากการอบรมทีละเล็กทีละน้อย  และก็เป็นสิ่งที่เจริญช้า  ไม่เหมือนกับโลภะซึ่งไม่ต้องไปบำรุงหรือแสวงหา  เพราะเกิดอยู่ทุกวัน  ทำลายก็ยาก

ปัญญาเป็นสิ่งที่ต้องค่อย ๆ เจริญ  และค่อย ๆ เกิดขึ้น  แล้วต้องอาศัยเหตุปัจจัย คือ การฟังและต้องฟังด้วยความอดทน  การที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขยแสนกัป  ถ้าเป็นพระสารีบุตรไม่ถึง ๔ อสงไขยแสนกัป  ถ้าเป็นมหาสาวกก็น้อยลงมา

 แล้วอย่างเรานี่ถ้าไม่ฟังธรรมเลย  อย่างบางคนคิดว่าไม่ต้องเรียนพระพุทธศาสนา  ฟังแค่นิด ๆ หน่อย ๆ  สอนแค่ทำดี ละชั่วก็พอแล้ว  อย่างนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ที่เห็นคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ต้องเป็นประโยชน์  ถ้าไม่เรียน แล้วเราจะได่ประโยชน์จากพระธรรมได้อย่างไร  ก็ไม่มีหนทางเลย

เพราะฉะนั้น  คนที่จะได้รับมรดกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ปัญญา  ต้องเป็นผู้ที่อดทน มีความเพียร และก็ให้ทราบว่า ธรรมนี่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามจริง ๆ  ไม่ใช่เพียงรู้แล้วก็ละเลยที่จะปฏิบัติ


                   ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                         ...........................................

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

เริ่มต้นจริง ๆ คืออย่างไร


 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ความทุกข์กายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้  ทุกข์กายมีหลายอย่าง  เพราะเหตุว่า ตราบใดที่เรามีร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า  มีความทุกข์กายเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น  บางคนนิ้วเท้าแตก  บางคนศีรษะเป็นแผล  นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีรูปร่างกายทุกข์กายก็ต้องมี  นี่ก็เป็นทุกข์ประจำชีวิต  นอกจากทุกข์กายแล้ว  ทุกข์ใจยังมีอีกมากมหาศาล  ตัวอย่าง เช่น  บางคนมีร่างกายแข็งแรงดี แต่ทำไมมีทุกข์ใจไม่จบสิ้น  บางคนมีเงินทองมากมาย  แต่ก็ยังมีทุกข์ใจอยู่นั่นเอง เป็นกังวลเรื่องเงินทอง  จะจัดการอย่างไร  จนตีหนึ่งตีสองก็ยังนอนไม่หลับ  ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรที่น่าจะเดือดร้อนเลย   นี่ก็แสดงให้เห็นว่า  นอกจากเกิดมามีทุกข์กายแล้ว  ก็ยังมีทุกข์ใจอีกมากมาย ซึ่งยากแสนยากที่จะดับให้หมดสิ้นไปได้  เพราะเหตุว่าทุกข์วันนี้อาจจะหมด  แต่พรุ่งนี้ก็มีทุกข์ใหม่เกิดอีกเรื่อย ๆ  เพราะฉะนั้นไม่รู้จักจบ  แต่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงจากการตรัสรู้ความจริง แล้วเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ทรงแสดงพระธรรมให้บุคคลอื่นได้ยินได้ฟัง  แล้วเกิดปัญญาของตนเอง

การเริ่มต้นฟังพระธรรม  ก็คือการฟังให้เกิดความเข้าใจ  แล้วเป็นปัญญาของเรา  เพราะเหตุว่า ตราบใดที่เรายังไม่ได้ฟังพระธรรม  ปัญญาจะเกิดไม่ได้  นอกจากเราคิดเอาเองว่า เราเข้าใจแล้ว  แต่ว่าสิ่งที่เราคิดเราเข้าใจเอง  ไม่ตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ได้  เพราะเหตุว่า เรายังไม่ได้เทียบเคียงว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร   และความเห็นของเราจะตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดง หรือว่าจะต่างกันมากน้อยแค่ไหน

เพราะฉะนั้น   การเทียบเคียงก็คือ   ขอให้เราฟังพระธรรม เพื่อที่เราจะได้ทราบว่า  สิ่งที่เราเคยเข้าใจนั้น ถูกต้องหรือว่าผิดจากการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาค  ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรมก็เป็นการเริ่มต้นของพุทธศาสนิกชน ที่จะทำให้เข้าใจได้จริง ๆ ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระปัญญาคุณ  ด้วยพระบริสุทธิคุณ  และด้วยพระมหากรุณาคุณ  ถ้าเราไม่ฟังพระธรรม เราก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้เลย  เราก็ไหว้พระจริง ไหว้รูป  แต่ไม่ทราบว่าจะระลึกพระคุณอะไร  เพราะเหตุว่า ไม่เข้าใจว่าพระคุณของพระองค์นั้น มีประการใดบ้าง  แต่ถ้าเราเริ่มฟังพระธรรม  เราก็จะเริ่มเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาที่ได้สะสมมานานมาก  ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรแล้วก็สอนตามความคิดตามความเข้าใจ  และสิ่งที่สอนก็ง่ายแสนง่าย  ซึ่งใครก็ฟังเข้าใจได้  ถ้าเป็นในลักษณะนั้นล่ะก็ ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป


                            ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                                ...............................................

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

ความหมายของคำว่า เหตุ



 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


กุศลจิตและอกุศลจิตต้องประกอบด้วยเหตุ  (เหตุ ๖ ได้แก่  โลภเจตสิก โทสเจตสิก  โมหเจตสิก  อโลภเจตสิก  อโทสเจตสิก อโมหเจตสิก)  กุศลจิตหรืออกุศลจิตดับไปแล้ว  ก็เป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิด

แต่สำหรับจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ  เกิดแล้วดับแล้ว  เช่น จิตเห็น (จักขุวิญญาณจิต) ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย  มีจิต ๑๘ ดวง เท่านั้นที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย   เพราะเหตุว่า เป็นวิบากจิต คือ เป็นผล มี ๑๕ ดวง  เป็นกิริยาจิต มี ๓  ดวง

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นชาติวิบากที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย  แต่ก็ยังเป็นชาติวิบาก คือเป็นผลของกรรม    ผลของกรรมแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท  คือ วิบากจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย มี ๑๕  ดวง นอกจากนั้นเป็นวิบากจิตทั้งหมดมีเหตุเกิดร่วมด้วย

                         
                            ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                                 ..................................................