Translate

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เวรไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยไม่ผูกเวร

พระสุตตันตปิฎก  ขุททกนิกาย  คาถาธรรมบทเล่ม ๑  ภาค  ๒  ตอน  ๑   หน้าที่ ๗๓

ในสมัยนั้น  พระศาสดา  ทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท  นางกุลธิดานั้น  ให้บุตรนอนลงเคียงหลังพระบาทแห่งพระตถาคตแล้ว  ขอพระองค์ประทานชีวิตแก่บุตรข้าพระองค์เถิด"  สุมนเทพ  ผู้สิงอยู่ที่ซุ้มพระตู  ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน  พระศาสดารับสั่งเรียพระอานนทเถระมาแล้ว  ตรัสว่า  "อานนท์  เธอจงไปเรียกนางยักษิณีนั้นมา"

พระเถระเรียกนางยักษิณีนั้นมาแล้ว  นางกุลธิดา  กราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  นางยักษิณีนี้มา"  พระศาสดาตรัสว่า  "นางยักษิณีจงมาเถิด  เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย"  ดังนี้แล้ว  ได้ตรัสกะนางยักษิณีผู้มายืนแล้วว่า  "เหตุไร ?  เจ้าจึงทำอย่างนั้น  ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้า  ผู้เช่นเราแล้ว  เวรของพวกเจ้า  จักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์  เหมือนเวรของงูกับพังพอน  ของหมีกับไม้สะคร้อ  และของกากับนกเค้า  เหตุไฉน  พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน ? "  เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร  หาระงับได้ด้วยเวรไม่"  ดังนี้แล้ว  ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

๔.  น  หิ  เวเรน  เวรานิ        สมุมนฺตีธ  กุทาจนํ
      
     อเวเรน   จ   สมฺมนฺติ     เอส   ธมฺโม   สนนฺตโน.

"ในกาลไหน ๆ  เวรทั้งหลายในโลกนี้  ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย

ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร  ธรรมนี้เป็นของเก่า."


แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้  บทว่า  น หิ  เวเรน  เป็นต้น  ความว่าเหมือนอย่างว่า  บุคคล  แม้เมื่อล้างที่ที่ซึ่งเปื้อนแล้วด้วยของไม่สะอาด  มีน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้น  ด้วยของไม่สะอาดเหล่านั้นแล  ย่อมไม่อาจทำให้เป็นที่หมดจด  หายกลิ่นเหม็นได้   โดยที่แท้   ที่นั้นกลับเป็นที่ไม่หมดจดและมีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าเก่าอีก  ฉันใด  บุคคลเมื่อด่าตอบชนผู้ด่าอยู่   ประหารตอบชนผู้ประหารอยู่   ย่อมไม่อาจระงับด้วยเวรได้  โดยที่แท้  เขาชื่อว่าทำเวรนั่นเองให้ยิ่งขึ้น  ฉันนั้นนั่นเทียว  แม้ในกาลไหน ๆ  ขึ้นชื่อว่าเวรทั้งหลาย  ย่อมไม่ระงับได้ด้วยเวร  โดยที่แท้  ชื่อว่าย่อมเจริญอย่างเดียว  ด้วยประการฉะนี้

สองบทว่า  อเวเรน  จ  สมฺมนฺติ  ความว่า  เหมือนอย่างว่าของไม่สะอาด  มีน้ำลายเป็นต้นเหล่านั้น  อันบุคคลล้างด้วยน้ำที่ใสย่อมหายหมดได้   ที่นั้นย่อมเป็นที่หมดจด   ไม่มีกลิ่นเหม็น  ฉันใด  เวรทั้งหลายย่อมระงับ  คือ ย่อมสงบ  ได้แก่  ย่อมถึงความไม่มีด้วยความไม่มีเวร  คือ ด้วยน้ำคือขันติและเมตตา  ด้วยการทำไว้ในใจแยบคายและด้วยการพิจารณา  ฉันนั้นนั่นเทียว

บาทพระคาถาว่า  เอส  ธมฺนตโน  ความว่า  ธรรมนี้  คือ  ที่นับถือ  ความสงบเวร  ด้วยความไม่มีเวร  เป็นของเก่า  คือ เป็นมรรคาแห่งพระพุทธเจ้า  พระปัจเจกพุทธเจ้า  และพระขีณาสพทั้งหลายทุก ๆ  พระองค์ ดำเนินไปแล้ว

ในกาลจบพระคาถา  นางยักษิณินั้น  ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว  เทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์  แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว.






วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เรื่อง ความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี (ตอนที่ ๑)

พระสุตตันตปิฎก  ขุททกนิกาย  คาถาธรรมบท  เล่ม ๑  ภาค ๒  ตอน ๑- หน้าที่ ๖๘

ข้อความเบื้องต้น  

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภหญิงหมันคนใดคนหนึ่ง  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  "น  หิ  เวเรน  เวรานิ"  เป็นต้น.

มารดาหาภรรยาให้บุตร

ดังได้สดับมา  บุตรกุฏุมพีคนหนึ่ง  เมื่อบิดาสิ้นชีวิตแล้ว  เขาก็ได้ทำงานทุกอย่างด้วยตนเอง  เช่น  ทำนา  และงานในบ้านทุกอย่าง  ดูแลปฏิบัติมารดาด้วย  ต่อมามารดาได้บอกกับเขาว่า  "พ่อ แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า"

บุตร.   แม่  อย่าพูดอย่างนี้เลย  ฉันจักปฏิบัติแม่ไปจนตลอดชีวิต

แม่.     พ่อ  เจ้าคนเดียวทำการงานทั้งหมด  ทั้งที่นาและที่บ้าน  เพราะเหตุนั้น  แม่จึงไม่มีความสบายใจเลย  แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า

เขาแม้ว่าบุตรจะห้ามมารดาหลายครั้ง  แต่มารดาก็นิ่งเสีย  แล้วออกจากบ้านไป  เพื่อจะไปสู่ตระกูลหนึ่ง

ลำดับนั้น  บุตรถามมารดาว่า  "แม่จะไปตระกูลไหน ?"  เมื่อมารดาบอกว่า  "จะไปตระกูลชื่อโน้น"  ดังนี้แล้ว  ห้ามการที่จะไปตระกูลนั้นเสียแล้ว  บอกตระกูลที่ตนชอบใจให้  มารดาได้ไปตระกูลนั้น  หมั้นนางกุมาริกาไว้แล้ว  กำหนดวันแต่งงาน  นำนางกุมาริกาคนนั้นมาอยู่กับบุตรของตนในเรือน  นางกุมาริกานั้นเป็นหมัน  มารดาจึงพูดกะบุตรว่า  "พ่อ  เจ้าให้แม่นำนางกุมาริกามาตามชอบใจของเจ้าแล้ว  บัดนี้  นางกุมาริกานั้นเป็นหมัน  ก็ธรรมดาตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมฉิบหาย  ประเพณียอมไม่สืบเนื่องไป  เพราะฉะนั้น  แม่จักนำนางกุมาริกาคนอื่นมาให้เจ้า"  แม้บุตรนั้นกล่าวห้ามอยู่ว่า  "อย่าเลย  แม่"  ดังนี้  ก็ยังได้กล่าวอย่างนั้นบ่อย ๆ   หญิงหมันได้ยินคำนี้  จึงคิดว่า  "ธรรมดาบุตร  ย่อมไม่อาจฝืนคำมารดาบิดาไปได้ 

บัดนี้  แม่ผัวคิดจะนำหญิงอื่น  ผู้ไม่เป็นหมันมา  แล้วจักใช้เราอย่างทาส  ถ้าอย่างไรเราพึงนำนางกุมาริกาคนหนึ่งมาเสียเอง"  ดังนี้แล้วจึงไปยังตระกูลแห่งหนึ่ง  ขอนางกุมาริกา  เพื่อประโยชน์แก่สามี  ถูกพวกชนในตระกูลนั้นห้ามว่า  "หล่อนพูดอะไรเช่นนั้น"   ดังนี้แล้ว  จึงอ้อนวอนว่า  "ฉันเป็นหมัน  ตระกูลที่ไม่มีบุตร  ย่อมฉิบหาย  บุตรีของท่านได้บุตรแล้ว  จักได้เป็นเจ้าของสมบัติ  ขอท่านโปรดยกบุตรีนั้นให้แก่สามีของฉันเถิด"   ดังนี้แล้ว  ยังตระกูลนั้นให้ยอมรับแล้ว  จึงนำมาไว้ในเรือนของสามี

ต่อมา  หญิงหมันนั้น  ได้มีความปริวิตกว่า  "ถ้านางคนนี้จักได้บุตรหรือบุตรีไซร้  จักเป็นเจ้าของสมบัติแต่ผู้เดียว  ควรเราจะทำนางอย่าให้ได้ทารกเลย"


เมียหลวงปรุงยาทำลายครรภ์เมียน้อย

ลำดับนั้น  หญิงหมันจึงพูดกะนางนั้นว่า  "เมื่อหล่อนตั้งครรภ์ตั้งเมื่อใด  ขอให้บอกแก่ฉันเมื่อนั้น"   นางนั้นรับว่า  "จ้ะ"  เมื่อตั้งครรภ์แล้ว  ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น  ส่วนหญิงหมันนั้นแล  ให้ข้าวต้มและข้าวสวยแก่นางนั้นเป็นนิตย์  ภายหลัง  นางได้ให้ยาสำหรับทำครรภ์ให้ตก (แท้ง)  ปนกับอาหารแก่นางนั้น  ครรภ์ก็ตก (แท้ง)  เมื่อตั้งครรภ์ครั้งที่ ๒  นางก็ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น  แม้หญิงหมันก็ได้ทำครรภ์ให้แท้ง  ด้วยอุบายอย่างนั้นแล  เป็นครั้งที่ ๒

ลำดับนั้น  พวกหญิงที่คุ้นเคยกัน  ได้ถามนางนั้นว่า  "หญิงร่วมสามีทำอันตรายหล่อนบ้างหรือไม่ ?"   นางแจ้งความนั้นแล้ว  ถูกหญิงเหล่านั้นกล่าวว่า  "หญิงอันธพาล  เหตุไร  หล่อนจึงได้ทำอย่างนั้นเล่า ?  หญิงหมันนี้  ได้ประกอบยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกให้แก่หล่อน  เพราะกลัวหล่อนจะเป็นใหญ่  เพราะฉะนั้น  ครรภ์ของหล่อนจึงตก  หล่อนอย่าได้ทำอย่างนี้อีก"   ในครั้งที่ ๓  นางจึงมิได้บอก   ต่อมา  ฝ่ายหญิงหมันเห็นท้องของนางนั้นแล้ว  จึงกล่าวว่า  "เหตุไร ?    หล่อนจึงไม่บอกความที่ตั้งครรภ์แก่ฉัน"  เมื่อนางนั้นกล่าวว่า  "หล่อนนำฉันมาแล้ว  ทำครรภ์ให้ตกไปเสียถึง ๒  ครั้งแล้ว  ฉันจะบอกแก่หล่อนทำไม ?"  จึงคิดว่า  "บัดนี้  เราฉิบหายแล้ว  คอยแลดูความประมาทของนางกุมาริกานั้นอยู่  เมื่อครรภ์แก่เต็มที่แล้ว  จึงได้ช่อง  ได้ประกอบยาให้  แล้วครรภ์ก็ไม่อาจตก  เพราะครรภ์แก่  จึงนอนขวาง (ทวาร) เวทนากล้าแข็งขึ้น  นางถึงความสิ้นชีวิต


นางตั้งความปรารถนาว่า  "เราถูกมันให้ฉิบหายแล้ว  มันเองนำเรามา  ทำทารกให้ฉิบหายถึง ๓  คนแล้ว   บัดนี้  เราเองก็จะฉิบหาย   บัดนี้  เราจุติจากอัตภาพนี้  พึงเกิดเป็นนางยักษิณี  อาจเคี้ยวกินทารกของมันเถิด"  ดังนี้แล้ว  ตายไปเกิดเป็นแมวในเรือนนั้นเอง  ฝ่ายสามี  จับหญิงหมันแล้ว  กล่าวว่า  "เจ้าได้ทำการตัดตระกูลของเราขาดสูญ"  ดังนี้แล้ว  ทุบด้วยอวัยวะทั้งหลายมีศอกและเข่าเป็นต้น  ให้บอบช้ำ  แล้วหญิงหมันนั้นตาย  เพราะความเจ็บนั้นแล  แล้วได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน


ผลัดกันสังหารคนละชาติด้วยอำนาจผูกเวร

จำเนียรกาลไม่นาน  แม่ไก่ได้ตกฟองหลายฟอง  แม่แมวมากินฟองไข่เหล่านั้นเสีย  ถึงครั้งที่ ๒  ครั้งที่ ๓  มันก็ได้กินเสียเหมือนกัน  แม่ไก่ทำความปรารถนาว่า  "มันกินฟองของเราถึง ๓ ครั้งแล้ว   เดี๋ยวนี้มันก็อยากกินตัวเราด้วย  เดี๋ยวนี้  เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว  พึงได้กินมันกับลูกของมัน"  ดังนี้แล้ว  จุติจากอัตภาพนั้น  ได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง  ฝ่ายแม่แมว  ได้เกิดเป็นแม่เนื้อ  ในเวลาที่เนื้อนั้นคลอดลูกแล้ว  แม่เสือเหลืองก็ได้มากินลูกของแม่เนื้อทั้งหมดถึง ๓ ครั้ง  เมื่อเวลาจะตาย  แม่เนื้อทำความปรารถนาว่า  "พวกลูกของเรา  แม่เสือเหลืองตัวนี้กินเสียถึง ๓ ครั้งแล้ว  เดี๋ยวนี้มันจักกินตัวเราด้วย  เดี๋ยวนี้เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว  พึงได้กินมันกับลูกของมันเถิด"   ดังนั้นแล้ว  ได้ตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี   ฝ่ายแม่เสือเหลือง  จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เกิดเป็นกุลธิดาในเมืองสาวัตถี  นางถึงความเจริญแล้ว  ได้ไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริมประตูเมือง  ในกาลต่อมา  นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง  นางยักษิณีจำแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของเขามาแล้ว  ถามว่า  "หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน ?"  พวกชาวบ้านได้บอกว่า  "เขาคลอดบุตรอยู่ภายในห้อง"  นางยักษิณีฟังคำนั้น  แสร้งพูดว่า  "หญิงสหายของแันคลอดลูกเป็นชายหรือเป็นหญิงหนอ  ฉันจักดูเด็กนั้น"  ดังนี้แล้วเข้าไปทำเป็นแลดูอยู่  แล้วจับทารกกินจนหมดแล้วก็ไป

ถึงในหนที่ ๒  ก็ได้กินเสียเหมือนในหนที่ ๓  นางกุลธิดามีครรภ์แก่  เรียกสามีมาแล้ว  บอกว่า  "นาย  นางยักษิณีคนหนึ่งกินบุตรของฉันเสียในที่นี้  ๒  คนแล้ว  เดี๋ยวนี้  ฉันจักไปสู่เรือนแห่งตระกูลของฉันคลอดบุตร"  ดังนี้แล้ว  ไปสู่เรือนแห่งตระกูลเพื่อคลอดบุตรที่นั่น  ในกาลนั้น  นางยักษิณีนั้นถึงคราวส่งน้ำ  ด้วยว่า  นางยักษิณีทั้งหลายต้องตักน้ำ  จากสระอโนดาตทูนบนศีรษะมา  เพื่อท้าวเวสสวัณ  ตามวาระ  ต่อล่วง ๔ เดือนบ้าง  ๕  เดือนบ้าง  จึงพ้นจากเวรได้  นางยักษิณีเหล่าอื่นมีกายบอบช้ำ  ถึงความสิ้นชีวิตบ้างก็มี  ส่วนนางยักษิณีนั้น  พอพ้นจากเวรส่งน้ำแล้วเท่านั้น  ก็รีบไปสู่เรือนนั้น  ถามว่า  "หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน ? "  พวกชาวบ้านบอกว่า  "ท่านจักพบเขาที่ไหน ? "  นางยักษิณีคนหนึ่งกินทารกของเขาที่คลอดในที่นี้  เพราะฉะนั้น  เขาจึงไปสู่เรือนแห่งตระกูล"  นางยักษิณีนั้นคิดว่า  "เขาไปในที่ไหน ๆ  ก็ตามเถิด  จักไม่พ้นเราได้"

ดังนั้นแล้ว  อันกำลังเวรให้อุตสาหะแล้ว  วิ่งบ่ายหน้าไปสู่เมือง  ฝ่ายนางกุลธิดา  ในวันไปรับชื่อให้ทารกนั้น  อาบน้ำ  ตั้งชื่อแล้ว  กล่าวกะสามีว่า  "นาย เดี๋ยวเราพากันไปสู่เรือนของเราเถิด"  อุ้มบุตรไปกับสามี  ตามทางอัดตัดไปในท่ามกลางวิหาร  มอบบุตรให้สามีแล้ว  ลงอาบน้ำในสระโบกขรณีข้างวิหารแล้ว  ขึ้นมารับเอาบุตร  เมื่อสามีกำลังอาบน้ำอยู่  ยืนให้บุตรดื่มนม  แลเห็นนางยักษิณีมาอยู่  จำได้แล้ว  ร้องด้วยเสียงอันดังว่า  "นาย  มาเร็ว ๆ  เถิด  นี้นางยักษิณีตนนั้น"  ดังนี้แล้ว  ไม่อาจยืนรออยู่จนสามีนั้นมาได้  จึงวิ่งกลับบ่ายหน้าไปสู่ภายในวิหาร.